วันที่ 19 กันยายน 2557 เป็นวันที่ชีวิตของครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งต้องพลิกผัน จากการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขร่วมกัน กลายเป็นเส้นทางแห่งความทุกข์ระทมที่ยาวนานกว่าทศวรรษ เมื่อรถกระบะคันหนึ่งที่ขับโดย น.ส.น้ำผึ้ง ใจเสงี่ยม เสียหลักพุ่งเข้าชนร้านสเต็กลุงใหญ่ ที่ปากซอยเอกชัย 119 เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร เหตุการณ์ครั้งนั้นคร่าชีวิตของนายภาณุทัต ศักดิ์สิทธิพันธ์ อายุ 42 ปี เจ้าของร้านและพ่อของเด็กหญิงนราศิริ หรือ “น้องการ์ตูน” วัยเพียง 5 ขวบ ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง
การบาดเจ็บและความสูญเสีย
น้องการ์ตูนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากอุบัติเหตุครั้งนั้น เธอมีอาการกระทบกระเทือนทางสมอง ประสาทตาฝ่อ จนทำให้ตาบอด ร่างกายแทบไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ยกเว้นแขนขาที่ขยับได้เพียงเล็กน้อย ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเด็กน้อยวัย 5 ขวบที่มีอนาคตสดใส กลายเป็นผู้ป่วยที่ต้องพึ่งพาการดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ในขณะที่ครอบครัวต้องสูญเสียพ่อซึ่งเป็นเสาหลักไปอย่างกะทันหัน
กระบวนการยุติธรรม
หลังเกิดเหตุ คดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ศาลอาญาธนบุรีพิพากษาจำคุก น.ส.น้ำผึ้ง เป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน แต่เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพ จึงลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมปรับ 3,000 บาท นอกจากนี้ ศาลยังสั่งให้จำเลยชดใช้สินไหมทดแทนแก่ครอบครัวผู้เสียหายเป็นเงินรวม 6,336,000 บาท การตัดสินดูเหมือนจะเป็นชัยชนะในเบื้องต้นสำหรับครอบครัวของน้องการ์ตูน แต่ในความเป็นจริง มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ที่ยาวนานกว่าทศวรรษ
10 ปีแห่งการรอคอยความยุติธรรม
เมื่อพ้นโทษจำคุก น.ส.น้ำผึ้ง กลับไม่เคยติดต่อหรือเข้ามาเยี่ยมเยียนครอบครัวน้องการ์ตูน รวมถึงไม่เคยจ่ายเงินชดใช้ตามคำสั่งศาลแม้แต่บาทเดียว ในขณะที่ข้อมูลจากสื่อมวลชนหลายสำนักระบุว่า เธอกลับใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เปลี่ยนชื่อ เปิดร้านขายอะไหล่ และเที่ยวพักผ่อนตามรีสอร์ทริมน้ำ ซึ่งตรงกันข้ามกับชีวิตของครอบครัวน้องการ์ตูนที่ต้องต่อสู้กับความยากลำบากและความเจ็บปวดทุกวัน
นางศรัญญา ชำนิ แม่ของน้องการ์ตูน เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ครอบครัวต้องแบกรับภาระค่ารักษาพยาบาลที่สูงถึงเดือนละหลายหมื่นบาท บางเดือนสูงถึงหลักแสนบาท ทำให้ฐานะทางการเงินของครอบครัวย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้น ในปี 2561 ทางโรงพยาบาลยังขู่ฟ้องครอบครัวน้องการ์ตูนเรียกเงิน 1.9 ล้านบาท จากค่ารักษาที่คู่กรณีไม่ชำระ ทำให้ครอบครัวต้องรับภาระหนี้สินเพิ่มเติม ในขณะที่ต้องดิ้นรนประกอบอาชีพเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวไปพร้อมกับการดูแลน้องการ์ตูนอย่างใกล้ชิด
ความพยายามในการติดตามทวงถาม
ครอบครัวน้องการ์ตูนพยายามติดตามสืบทรัพย์ของคู่กรณี เพื่อเข้าสู่กระบวนการยึดทรัพย์และขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชดเชยความเสียหายตามคำสั่งศาล แต่กลับพบว่า คู่กรณีใช้ช่องว่างทางกฎหมายหลบเลี่ยงการชำระหนี้มาโดยตลอด โดยใช้วิธี “ไม่หนี ไม่มี ไม่จ่าย” อ้างว่าไม่มีทรัพย์สินให้สืบ ทำให้การบังคับคดีไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในขณะที่สื่อมวลชนพยายามตามหาตัวคู่กรณี เมื่อพบว่าเป็นเจ้าของร้านขายไข่ไก่ในตลาดแห่งหนึ่งย่านเอกชัย 109 และเมื่อถูกถามว่าอยากจะขอโทษน้องการ์ตูนและครอบครัวหรือไม่ เธอกลับตอบเพียงสั้นๆ ว่า “ไม่สะดวกตอบ” ก่อนจะหันหลังไม่ตอบคำถามใดๆ
คดีใกล้หมดอายุความ
เวลาผ่านไปจนเข้าปี 2567 ซึ่งเป็นปีที่คดีจะครบกำหนดอายุความ 10 ปี ในวันที่ 19 กันยายน แม้จะมีความพยายามจากกระทรวงยุติธรรม โดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในการชี้ช่องทางว่า ตามกฎหมายแพ่ง เมื่อคดีครบ 10 ปี โจทก์อาจขอให้ศาลขยายเวลาอีก 1-2 ปี เพื่อตามสืบทรัพย์ แต่ก็เป็นเพียงทางเลือกที่ไม่มีความแน่นอน
นอกจากนี้ ยังมีความช่วยเหลือจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำโดย น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา และตัวแทนของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เข้าเยี่ยมและให้กำลังใจแม่น้องการ์ตูน พร้อมหารือแนวทางช่วยเหลือ โดยกระทรวงยุติธรรมจะดำเนินเรื่องเอกสารในการฟ้องล้มละลายคู่กรณี แต่ด้วยเวลาที่เหลือน้อยเกินไป และความยากลำบากในการพิสูจน์ทรัพย์สินที่แท้จริงของคู่กรณี ทำให้ทางครอบครัวตัดสินใจยุติการต่อสู้ทางกฎหมาย
ความทุกข์ทวีคูณและการยอมแพ้
ความเจ็บปวดทางร่างกายของน้องการ์ตูน และความทุกข์ทางใจของครอบครัวไม่เคยลดน้อยลงตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา แม่น้องการ์ตูนต้องทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ คอยดูแลลูกสาวที่ป่วยติดเตียงอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งต้องหาเงินมาจุนเจือครอบครัว โดยได้เปิด “ร้านสเต็กคุณแม่การ์ตูน” เพื่อเป็นรายได้หลักในการเลี้ยงดูตนเองและลูกสาว
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 มีการรายงานว่า แม่น้องการ์ตูนต้องเข้ารับการรักษาอาการซึมเศร้า และได้โพสต์ข้อความสะเทือนใจว่า “ไม่พร้อมที่จะอยู่ในโลกนี้” และ “ขอนับจากนี้เราไม่ขอเกิดและขอไม่มีชีวิตอีกต่อไปแล้ว เราเหนื่อยกับชีวิตตัวเอง และขอเอาน้องไปด้วยเลย” สะท้อนให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าและสิ้นหวังที่สั่งสมมายาวนาน
ด้วยความเครียดและโรคซึมเศร้าที่รุมเร้า แม่น้องการ์ตูนได้ประกาศว่า ขอยอมแพ้ต่อคดีความที่ยืดเยื้อมานาน เพราะตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะ “สู้ก็แพ้ ไม่สู้ก็แพ้” สภาพจิตใจที่ย่ำแย่ทำให้ในเดือนธันวาคม 2567 แม่น้องการ์ตูนป่วยหนัก ต้องเข้ารับการตรวจด้วยเครื่อง CT Scan อันเป็นผลกระทบโดยตรงจากการที่ต้องแบกรับภาระในการดูแลลูกสาวมาเป็นเวลานานนับทศวรรษ
การตัดสินใจครั้งสุดท้าย
และแล้ว ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 (2025) เพจ “ร้านสเต็กคุณแม่การ์ตูน” ได้ประกาศว่า ครอบครัวได้ตัดสินใจปล่อยให้น้องการ์ตูนจากไปอย่างสงบ หลังจากที่น้องต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการป่วยและความเจ็บปวดมายาวนานถึง 11 ปี การจากไปของน้องการ์ตูนไม่เพียงแต่เป็นการสิ้นสุดชีวิตของเด็กน้อยที่ไม่มีโอกาสได้เติบโตอย่างปกติเท่านั้น แต่ยังเป็นการปิดฉากคดีความที่เป็นบาดแผลอันยาวนานของครอบครัวด้วย
แอดมินเพจร้านสเต็กคุณแม่การ์ตูนได้โพสต์ข้อความอันสะเทือนใจว่า “ขออนุญาตแจ้งเรื่องสำคัญ ที่พยายามหลีกเลี่ยงจะพูด แต่สุดท้ายก็จำเป็นต้องพูด เพื่อให้พี่ๆ ทุกท่านเข้าใจครับ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกกำลังใจและการสนับสนุนจากพี่ๆ คือพลังสำคัญสำหรับน้องการ์ตูนและคุณแม่ของน้องอย่างที่สุด แต่วันนี้ แอดขอแจ้งให้ทราบว่า กำลังใจเหล่านั้นคือครั้งสุดท้ายที่จะส่งถึงน้องครับ”
บทส่งท้าย
เรื่องราวของน้องการ์ตูนและครอบครัวเป็นตัวอย่างอันน่าเศร้าของความไม่เป็นธรรมในสังคมไทย ช่องว่างของกฎหมายและการขาดความรับผิดชอบของผู้ก่อเหตุ ทำให้คำตัดสินของศาลเป็นเพียงตัวอักษรบนกระดาษที่ไม่สามารถนำมาซึ่งความยุติธรรมที่แท้จริง
ในขณะที่ผู้ก่อเหตุพ้นโทษและกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ผู้เสียหายกลับต้องแบกรับความเจ็บปวด ความสูญเสีย และภาระหนี้สินอันหนักอึ้ง คำพูดของแม่น้องการ์ตูนที่ว่า “โลกนี้ไม่เคยยุติธรรมกับครอบครัวเลย” อาจเป็นประโยคที่สะท้อนความจริงอันเจ็บปวดที่สุดของคดีนี้
การจากไปอย่างสงบของน้องการ์ตูนในวัย 16 ปี อาจเป็นการปลดปล่อยเธอจากความเจ็บปวด แต่สำหรับครอบครัวและสังคมไทย นี่ควรเป็นบทเรียนอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับความรับผิดชอบ การเคารพกฎหมาย และความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ เพื่อไม่ให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นอีก และเพื่อให้ระบบยุติธรรมของไทยได้พัฒนาให้สามารถปกป้องผู้เสียหายได้อย่างแท้จริง
ขอให้วิญญาณของน้องการ์ตูนสู่สุคติในภพหน้า สิ้นสุดการต่อสู้อันยาวนาน 11 ปีในโลกที่ไม่เคยให้ความยุติธรรมแก่ครอบครัวของเธอเลย