ธุรกิจแลกเงินเริ่มฟื้นตัวตามทิศทางการเปิดประเทศ “ซูเปอร์ริชสีส้ม” ลุ้นธุรกรรมขยับเพิ่มจากจุดต่ำสุดเหลือ 500 ล้านบาทต่อเดือน เป็นระดับ 1,000 ล้านบาทต่อเดือน ตั้งแต่ 2 เดือนสุดท้ายปีนี้เป็นต้นไป จับตาการระบาดของ “โอไมครอน” หวั่นทุบมู้ดท่องเที่ยว ขณะที่ “กสิกรไทย” ทยอยเปิดบูทตามปริมาณนักท่องเที่ยว เผยธุรกรรมยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดถึง 15 เท่า ฟาก “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ชี้โควิดกระทบธุรกิจหายไปจากระบบ 56 ราย คาดแนวโน้มธุรกิจพ้น “แอ่งกระทะ” แล้ว
นายปิยะ ตันติเวชยานนท์ ประธานกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ริชเคอเรนซี่ เอ็กซ์เชนจ์ (1965) หรือ “ซุปเปอร์ริชสีส้ม” เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ธุรกรรมรับแลกเงินตราต่างประเทศเริ่มกลับมา โดยตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค. มีธุรกรรมเพิ่มขึ้น 700-800 ล้านบาทต่อเดือน และคาดว่าในเดือน พ.ย.-ธ.ค.นี้ที่มีการเปิดประเทศแล้ว น่าจะเห็นธุรกรรมไปแตะ 1,000 ล้านบาทต่อเดือน ส่วนทั้งปีภาพรวมน่าจะอยู่ที่ราว 7,000-9,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามสถานการณ์โควิด-19 ที่มีการกลายพันธุ์ด้วย
“หากไม่มีโควิดระลอกใหม่และปิดเมืองอีกครั้ง เชื่อว่าธุรกรรมน่าจะขยับเพิ่มขึ้นตามปริมาณนักท่องเที่ยว ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีนี้คงต้องรอดูนักท่องเที่ยวด้วยว่าเข้ามามากแค่ไหน โดยต้องติดตามประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอไมครอนด้วย แต่เบื้องต้นยังไม่มีผลกระทบ และเชื่อว่าภาพเศรษฐกิจน่าจะทยอยปรับตัวดีขึ้นตามทิศทางการเปิดประเทศ คนกลับมาใช้จ่าย และสามารถเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศได้ จะช่วยสร้างรายได้การท่องเที่ยวกลับคืนมาได้” นายปิยะกล่าว
อย่างไรก็ดี บริษัทยังไม่มีแผนเปิดสาขาให้บริการเพิ่มจากระดับปัจจุบันที่เปิดทำการอยู่ 12-13 แห่ง เนื่องจากปริมาณธุรกรรมยังกลับมาไม่เต็มศักยภาพ โดยเน้นเปิดให้บริการในจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวเป็นหลัก เช่น ภูเก็ต หัวหิน ขอนแก่น และอุดรธานี
นายปิยะกล่าวว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจแลกเงินถือว่าได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ค่อนข้างหนัก โดยธนาคารหลายแห่งยุติการทำธุรกรรมปริวรรตเงินตราต่างประเทศ หรือปรับลดช่องทางสาขาการทำธุรกรรมลง เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณธุรกรรมและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และหันไปใช้วิธีการโอนเงินข้ามประเทศแทน ซึ่งสำหรับซุปเปอร์ริชสีส้มก็ได้รับผลกระทบ มีปริมาณธุรกรรมลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยยอดธุรกรรมก่อนโควิดเฉลี่ยอยู่ที่ 1 แสนล้านบาทต่อปี ลดลงเหลือแค่ราว 500 ล้านบาทต่อเดือน หรือเติบโตไม่ถึง 10%
“ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างยื่นเอกสารขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการประกอบธุรกรรมการโอนเงินระหว่างประเทศ ซึ่งน่าจะรู้ผลภายในเดือน ม.ค.-ก.พ. 2565” นายปิยะกล่าว
นายอมร สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า นโยบายตอนนี้ ธนาคารเน้นเปิดบูทซื้อขายเงินตราต่างประเทศให้สอดคล้องตามจำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งหากจำนวนนักท่องเที่ยว และจำนวนเที่ยวบินมากขึ้น ก็จะพิจารณาเปิดบริการมากขึ้น ซึ่งตอนนี้เน้นกระจายอยู่ในจุดผ่านสำคัญ ๆ ของนักท่องเที่ยว ทั้งในส่วนขาเข้า-ขาออก ได้แก่ ในสนามบินสุวรรณภูมิ 11 บูท ดอนเมือง 1 บูท ภูเก็ต 2 บูท ส่วนบูทนอกสนามบินจะเปิดที่สาขา ซึ่งสาขาจะเปิดให้บริการเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯก่อน
“ตอนนี้ยังประเมินธุรกรรมค่อนข้างยาก เพราะเพิ่งเริ่มเปิดการท่องเที่ยว และธุรกรรมยังน้อยกว่าในปี 2562 ถึง 15 เท่า ดังนั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาใกล้เคียงเดิมมากน้อยแค่ไหน” นายอมรกล่าว
นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมธุรกรรมการซื้อขายเงินตราต่างประเทศบุคคลได้รับอนุญาตทยอยลดลง นับตั้งแต่ปี 2563 มีผลกระทบมาจากการระบาดของโควิด-19 โดยปริมาณการซื้อขายในปี 2563 อยู่ที่ 10,627 ล้านดอลลาร์ ปรับลดลงถึง 63.6% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีปริมาณธุรกรรมอยู่ที่ 29,206 ล้านดอลลาร์
และสำหรับปี 2564 นี้ ตัวเลขล่าสุด ณ เดือน ก.ค. พบว่า ธุรกรรมยังคงปรับลดลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) มีปริมาณธุรกรรมที่ 3,194.51 ล้านดอลลาร์ ลดลง 63.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
“ขณะที่ในแง่จำนวนผู้ให้บริการ หรือบุคคลรับอนุญาตลดลงต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยล่าสุด ณ เดือน ต.ค. 2564 อยู่ที่ 2,326 ราย ลดลงจากช่วงก่อนโควิด 56 ราย ซึ่งจะเห็นได้ว่าจำนวนบุคคลรับอนุญาตเริ่มปรับลดลงตั้งแต่ปี 2563 หลังจากนับตั้งแต่ปี 2556 ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ตอนนี้ธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราน่าจะพ้นจุดที่เป็นแอ่งกระทะแล้ว ภายหลังจากเริ่มเปิดประเทศ แต่โดยรวมธุรกิจคงยังไม่ฟื้นตัวกลับไปเหมือนช่วงก่อนโควิด-19 ทันที เนื่องจากบรรยากาศการท่องเที่ยว การเดินทางยังไม่ได้กลับมาปกติเต็มที่ รวมถึงยังมีความเสี่ยงในแง่การระบาดรอบใหม่ของต่างประเทศโดยเฉพาะในยุโรป ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของธุรกิจ และยังต้องติดตามใกล้ชิด” นางสาวกาญจนากล่าว